บล็อกเกี่ยวกับภาษาอิตาลี รวบรวมข้อมูลการเรียนรู้ภาษาอิตาลี และเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับอิตาลีจ้า
วิทยุ
เริ่มแรกเรียนภาษาอิตาลี
สำหรับคนที่อยากจะหัดภาษาอิตาลี หรือว่าสนใจ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดีน่ะค่ะ
วันนี้ rejanecy ขอรื้อฟื้นความทรงจำเพื่อเริ่มเรียนใหม่ก่อน...แฮ่ๆ....
ก่อนอื่นก็อยากจะแนะนำภาษาอิตาลีให้เพื่อนๆทุกคนรู้จักกันก่อนค่ะ ว่ามันมีที่มามายังไง จากไหน แล้วมีลักษณะเป็นอย่างไร
--- ภาษาอิตาลีเป็นภาษาที่มีรากฐานมาจากภาษาละตินค่ะ ก็มีที่มาเช่นเดียวกับภาษาแถบยุโรปทั่วไปอย่าง ภาษาฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส และโรมาเนียน (ภาษาพวกนี้มาจากละตินทั้งนั้น)
แล้วที่ได้มาเป็นภาษาอิตาลี จนเป็นเอกลักษณ์ที่น่าภาคภูมิใจของชาวอิตาลีอย่างทุกวันนี้ ก็เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในศตวรรษที่ผ่านมา (ประมาณ 18-19) ได้มีนักเขียนนิยายชาวอิตาลีคนหนึ่งชื่อ Alessandro Manzoni เป็นผู้พัฒนาภาษาอิตาลีนี้ขึ้น โดยตอนแรกได้ตั้งใจไว้ว่าจะให้ใช้เป็นภาษาของชาวทัสคานี (ในอิตาลี) ก่อน เขาได้มีความคิดจากการที่ประเทศอิตาลีเป็นประเทศที่พลเมืองมาจากท้องถิ่นที่ต่างกันแล้วชาวอิตาลีเองมักจะใช้ภาษาของท้องถิ่นอื่น จึงอยากให้มีภาษาอิตาลีใช้เป็นภาษาของชาวอิตาลี
พอศตวรรษที่ 20 แล้วเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) เจริญรุ่งเรื่อง ภาษาของชาวทัสคานี ในอิตาลี ก็ได้รับการพัฒนาตามยุค
ปัจจุบันนี้ก็มีประชากรพูดภาษาอิตาลี อยู่ประมาณ 77 ล้านคน (ข้อมูลจาก Wikipedia) และแน่นอนค่ะ ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวอิตาลีที่ต้องพูดภาษาท้องถิ่นของตน แต่ก็มีชาวสวิสเซอร์แลนด์ตอนใต้ บางส่วนค่ะ นอกจากนี้ก็มีชาวอิตาลีที่อพยพไปอยู่อเมริกา แคนาดา แต่ก็มีประเทศที่ใช้ภาษาอิตาลีเพราะมีภูมิประเทศอยู่ใกล้เคียง จึงร่วมใช้ภาษาอิตาลี
ตัวอักษรของภาษาอิตาลีก็เหมือนภาษาอังกฤษค่ะ แต่จะมีการเน้นหรือออกเสียง Accent ต่างกัน คือภาษาอิตาลีมักจะเน้นเสียงหนักที่พยางค์ก่อนสุดท้ายค่ะ ส่วนคำไหนที่ไม่ได้เน้นที่พยางค์ก่อนสุดท้ายก็จะมีเครื่องหมาย เน้น อยู่บนหัวสระของคำที่ให้เน้นเสียงนั้นค่ะ อย่างเช่นคำว่า ùndici (อุนดีซี)ที่แปลว่า 11 มี 3 พยางค์ โดยทั่วไปเราจะเน้นพยางค์ก่อนสุดท้ายก็คือคำว่า di แต่ในรูปคำก็จะเขียนว่า ùndici คือให้เน้นคำว่าอุน ที่มี ù ถูกเน้นไว้ค่ะ แต่ในเรื่องของการออกเสียงพยัญชนะอื่นๆและสระก็ต่างกับภาษาอังกฤษนิดเดียวค่ะ rejanecy เชื่อว่ามันมันเหนือบ่ากว่าแรงอยู่แล้ว ;)
จากนั้นเราก็ต้องทำความเข้าใจว่าภาษาอิตาลีเป็นภาษาที่มี 2 เพศ โดยเราสามารถระบุเพศของคำในภาษาอิตาลีได้ว่าแต่ละคำเป็นเพศอะไร ให้ดูจากสระที่ลงท้ายค่ะ
คำนามที่ลงท้ายด้วยสระตัว O เป็นเพศชายหมดเลย แต่ถ้าลงท้ายด้วยสระ A ก็เป็นเพศหญิงค่ะ (เอกพจน์นะ)
แต่ถ้าลงท้ายด้วยสระ I จะเป็นเพศชายพหูพจน์ค่ะ แต่ถ้าลงท้ายด้วยสระ E เนเพศหญิงพหูพจน์
นอกจากนี้ก็สามารถดูได้จาก Article ที่อยู่หน้าคำนาม (ถ้าเป็นในภาษาอังกฤษจะเป็นพวก a,an,the) ในภาษาอิตาลีก็มีพวก il ,la,l',lo,i,le,gli พวกนี้มีความหมายเท่ากับ The ในภาษาอังกฤษหมดเลยค่ะ เพียงแต่ ว่า
il มันจะเป็น The ที่ใช้อยู่หน้าคำนามเพศชายเอกพจน์ ,
la เป็น The ที่อยู่หน้าคำนามเพศหญิงพหูจพจน์,
l' หน้าเพศหญิงหรือชายเอกพจน์ที่ขึ้นต้นด้วยสระ(a e i o u),
lo หน้าเพศชายที่ขึ้นต้นด้วย z หรือ s ที่ตามด้วยพยัญชนะ (s ที่ตามด้วยพยัญชนะ เช่น lo studente ไม่ใช่ lo signor ที่ตามด้วยสระ)
le นำหน้าคำนามเพศหญิงพหูพจน์
i นำหน้าคำนามเพศชายพหูพจน์
gli หน้าเพศชายที่ขึ้นต้นด้วย z หรือ s ที่ตามด้วยพยัญชนะ (sที่ตามด้วยพยัญชนะ เช่น gli studenti ไม่ใช่ gli signori ที่ตามด้วยสระ)
ต่อมาก็มาดู article ที่มีความหมายเท่ากับ a หรือ an ในภาษาอังกฤษกันค่ะ (เป็น article ที่นำหน้าเอกพจน์ทั้งหมดนะคะ)
un ใช้ นำหน้าคำนามเพศชาย
una ใช้นำหน้าคำนามเพศหญิง
un' นำหน้าคำนามเพศชายและหญิงที่ขึ้นต้นด้วยสระ
uno นำหน้าคำนามเพศชายที่ขึ้นต้นด้วย Z หรือ S แล้วตามด้วยพยัญชนะ (พวกที่ขึ้นต้นด้วย sn st sp ...ตัวอื่นๆ ที่ไม่ใช้ S แล้วตามด้วยสระ a e i o u )
เอาละค่ะ เพื่อความเข้าใจมากกว่านี่ rejanecy ก็ขอยกตัวอย่างว่า คำว่า casa มันแปลว่า บ้านนะคะ
เราก็จะรู้ว่ามันเป็นคำเพศหญิง (เอกพจน์) เพราะมันลงท้ายด้วย A ดังนั้น
la casa ก็มีความหมายว่า the house (เพราะว่า la ใช้แทน The ที่นำหน้าเอกพจน์เพศหญิง)
le case ก็เท่ากับ The houses เพราะ le ใช้แทน The ที่นำหน้าพหูพจน์เพศหญิง ซึ่งคำว่า casa ก็ต้องเปลี่ยนเป็น case ด้วย เพราะคำที่ลงท้ายด้วย e แสดงความเป็นเอกพจน์เพศหญิงค่ะ
una casa จึงเท่ากับ a house เป็นต้นค่ะ :))
เมื่อเราเข้าใจการใช้ article และคำนามแล้วก็จำคำง่ายๆพวกคำทักทายต่างๆค่ะ หรือถ้าขยันหน่อยก็จำคำศัพท์ต่างๆได้เลย พยายามประเภทของคำศํพท์ว่าทำหน้าที่อะไร เป็น นาม คำคุณศัพท์ หรืออื่นๆ
พยายามเข้าใจสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของด้วยนะคะ
จากนัั้นก็ทำความเข้าใจเรื่องไวยากรณ์เพื่อหัดสร้างประโยคค่ะ : นี่คือการผันกริยาของ present tense ค่ะ
แต่ก็มี Tense อีกมากมาย....ซึ่ง rejanecy เองก็ยังไม่เข้าใจดีน่ะค่ะ แฮ่ๆ ที่ยากๆก็เป็นเรื่องนี่แหละค่ะ
เพราะแต่ละ Tense ก็ผันกริยาคนละแบบกัน
เราจะต้องพยายามฝึกหัด Tense ต่างๆให้ได้ ทั้งในรูปประโยคบอกเล่า ปฏิเสธและคำถาม (ควรหัดสร้างประโยคคำถามแบบ Question ในภาษาอังกฤษด้วยค่ะ) แล้วก็พวกประโยคคำสั่ง ข้อร้อง...คำอุทาน
อย่าลืมหัดใช้ conjunction , relative clause, compare เหมือนที่เราเรียนในภาษาอังกฤษ
ฝึกพูดบทสนทนาต่างๆ
สู้ๆค่ะ
<3
สมัครสมาชิก:
บทความ
(
Atom
)
ขอบคุณค่ะ
ตอบลบลองเล่นเกมดูแล้วค่ะ เรื่องสีได้98%
ตอบลบ